ศาลแพ่งพิพากษาให้สาวซีวิค และผู้ปกครองชดใช้ค่าเสียหาย รวมประมาณ 30 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี แก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
ศาลแพ่ง นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่ญาติของผู้เสียชีวิต 9 ราย และผู้บาดเจ็บ 4 คน จากอุบัติเหตุ นางสาวเอ (นามสมมติ) เยาวชนหญิง ขับรถยนต์ซีวิค เฉี่ยวชนรถตู้โดยสารพลิกคว่ำ เมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ร่วมกันเป็นโจทก์รวม 28 คน ยื่นฟ้อง นางสาวเอ รวมทั้งบิดาและมารดา นางสาวเอ เรื่องกระทำละเมิด ให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่สืบเนื่องมาจากคดีที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถึงที่สุดว่า การขับรถของนางสาวเอ เป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ รวมถึงทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเป็นการกระทำละเมิด จึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และเมื่อรับฟังได้ว่า นางสาวเอ จำเลยที่ 1 กระทำผิด บิดา และมารดา ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 ก็ไม่ได้นำสืบถึงความระมัดระวังในการดูแลจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายด้วย
พิพากษาให้นางสาวเอ บิดาและมารดาของนางสาวเอ ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ประกอบด้วยค่าไร้อุปการะ และค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าอื่นๆ ให้กับโจทก์ร่วม รวม 28 คน ซึ่งเป็นครอบครัวของผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บแต่ละคน ในจำนวนเงินแตกต่างกัน ตั้งแต่คนละ 4 พันบาท ถึง 1 ล้าน 8 แสนบาท รวมเป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ด้าน พ.ต.อ.ศรัญ นิลวรรณ บิดาของนางสาวสุดาวดี นิลวรรณ 1 ในผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ศาลสั่งให้ชดใช้เงินประมาณ 1 ใน 3 ของจำนวนเงินที่เรียกร้องไป ซึ่งความเห็นของผู้เสียหายส่วนใหญ่เห็นว่า น้อยเกินไป แต่ก็เคารพคำตัดสินของศาล โดยจากนี้ทางกลุ่มทนายความของโจทก์จะประชุมหารือกันในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ ว่าจะมีการยื่นอุทธรณ์ หรือไม่ และหากยื่นอุทธรณ์ จะยื่นในประเด็นใด ส่วนค่าสินไหมทดแทนที่ศาลสั่งจ่าย แตกต่างกันออกไป ทั้งค่าไร้อุปการะ/ค่ารักษาพยาบาล/ค่าเดินทาง/และค่าทุกข์ทรมานจากการรักษาอาการบาดเจ็บ และคาดว่าทางฝ่ายจำเลยจะมีการยื่นอุทธรณ์เช่นกัน เพื่อยืดเวลาการจ่ายค่าเสียหายออกไป และหลังเกิดเหตุมาแล้ว 5 ปี ทางฝ่ายจำเลยก็ไม่เคยมาพบกับกลุ่มผู้เสียหาย
สำหรับคดีอาญาที่อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 ยื่นฟ้อง นางสาวเอ ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตาย และทรัพย์สินเสียหายนั้น ซึ่งขณะเกิดเหตุนางสาวเอ มีอายุ 17 ปี คดีได้ถึงที่สุดแล้ว ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกนางสาวเอ 3 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 4 ปี/บำเพ็ญประโยชน์ 48 ชั่วโมงต่อปี/และห้ามขับรถจนกว่าจะมีอายุครบ 25 ปี ซึ่งนางสาวเอ ได้ยื่นฎีกาสู้คดี แต่ศาลไม่รับฎีกา จึงทำให้คดีสิ้นสุดตามคำพิพากษาดังกล่าว
ที่มา :http://www.siamupdate.com/news-178938